ความสำคัญของการสำรวจและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน
Q: โครงสร้างพื้นฐานคืออะไร
A: โครงสร้างพื้นฐาน คือ ระบบทางกายภาพและทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำงานของสังคมและเศรษฐกิจ ประกอบด้วยระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้าและน้ำประปา ระบบขนส่งคมนาคม เช่น ถนน สะพานและทางรถไฟ รวมถึงระบบการสื่อสาร เช่น โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต โดยเป็นรากฐานที่รองรับกิจกรรมต่างๆ การขยายตัวของชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยเราจะมุ่งเน้นพูดคุยกันในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม
Q: การสำรวจและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานคืออะไรสำคัญยังไง
A: ดังที่ได้บอกไปข้างต้น โครงสร้างพื้นฐานเป็นฐานรากที่รองรับกิจกรรมต่างๆ ของคน ดังนั้น การดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผลกระทบต่อกิจกรรมของคนน้อยที่สุดเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สิ่งที่เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งคือ สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายนั้น เมื่อสร้างเสร็จและผ่านการใช้งานแล้ว ย่อมมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ซึ่งอาจจะรุนแรงจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้าง ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการให้บริการ และความปลอดภัยต่อประชาชนได้ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่มีอายุการใช้งานมายาวนาน จึงมี ความจำเป็นที่หน่วยงานต่างๆ ต้องดำเนินการบำรุงรักษาโครงสร้างอย่างเหมาะสม เพื่อให้โครงสร้าง เหล่านี้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสามารถยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างนั้นๆออกไปได้

จากกราฟข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้งานโครงสร้างโดยไม่มีการวางแผนการตรวจสอบและซ่อมบำรุง เมื่อโครงสร้างเกิดความเสียหายโดยที่ไม่มีการตรวจพบ อาจส่งผลให้โครงสร้างนั้นใช้งานต่อไม่ได้ ทำให้อายุการใช้งานของโครงสร้างดังกล่าวหมดลง ต้องทำการก่อสร้างใหม่หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนโครงสร้าง ซึ่งจำเป็นต้องปิดช่องจราจรหรือปิดถนนเป็นเวลาหลายเดือน ถึง หลายปี นอกจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างที่สูงขึ้นแล้ว ค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนของประชาชนที่เกิดขึ้น ยังเป็นค่าความเสียหายที่ประเมินไม่ได้เช่นกัน
Q: แล้วประเทศอื่นๆเค้าทำยังไงกันบ้างล่ะ
A: เนื่องจากเราเป็นบริษัทที่ปรึกษาจากญี่ปุ่น เราลองมาเริ่มคุยถึงประเทศญี่ปุ่นกัน
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โครงสร้างพื้นฐานกว่า 40% ถูกสร้างในช่วงปี 1955-1975 เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ขอยกตัวอย่างเช่น สะพาน ปัจจุบันในญี่ปุ่นมีสะพานทั้งหมด ประมาณ 730,000 สะพาน โดยในปี 2026 จะมีสะพานที่อายุมากกว่า 50 ปี กว่า 47% (หรือประมาณ 340,000 สะพาน) และในปี 2031 จะมีสะพานที่อายุมากกว่า 50 ปี กว่า 50% (หรือประมาณ 365,000 สะพาน) ในตอนเริ่มต้น ประเทศญี่ปุ่นเองตระหนักถึงอายุโครงสร้างที่มากขึ้น กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว (MLIT) จึงออกแนวทางในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานในปี 2004 Notice of National Guideline for Periodic Bridge Inspection (for national road bridges) Prescribes specific inspection procedures เพื่อกำหนดแนวทางในการตรวจสอบถนนและสะพานที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ MLIT เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ ยังไม่ได้เป็นการบังคับใช้ จึงมีโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ตามเทศบาลและชุมชน
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่น กำหนดข้อกฎหมายในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานคือ การถล่มของฝ้าเพดานคอนกรีตของอุโมงค์ทางด่วนซาซาโกะ ในปี 2012 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต สาเหตุของการถล่มของเพดานอุโมงค์ถูกวินิจฉัยว่าเกิดจากความเสียหายของอุปกรณ์ยึดแผ่นเพดานคอนกรีต ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบหรือตรวจสอบไม่ละเอียดหลังจากที่อุโมงค์เปิดใช้มากว่า 35 ปี จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว หลังจากนั้นในปี 2014 ทาง MLIT ได้ออกกฎหมายที่บังคับให้มีการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานของญี่ปุ่นทุก ๆ 5 ปี คือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยถนนและกฎหมายอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการบำรุงรักษาและการยืดอายุโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ (The Act for Partial Revision of the Road Act and Other Acts to Promote Maintenance and Longevity of Public Infrastructure)
หลังจากนั้น ในประเทศญี่ปุ่นก็มีการทบทวนข้อบังคับและมีการปรับปรุงในทุกรอบของการตรวจสอบ คือในปี 2019 และ ฉบับล่าสุดในปี 2024 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้สำหรับรอบการสำรวจโครงสร้างพื้นฐานรอบที่ 3 ระหว่างปี 2024 – 2028
Q: โครงสร้างพื้นฐานบ้านเราเยอะเท่าญี่ปุ่นรึเปล่า
A: ในประเทศไทยเองก็มีโครงสร้างพื้นฐานเป็นจำนวนมาก เรามีถนนยาวรวมทั้งหมดประมาณ 707,000 กิโลเมตร เรามีสะพานที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท กว่า 27,000 สะพาน ไม่นับรวมสะพานชุมชนที่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทางด่วนยกระดับอีก 250 กิโลเมตร สำหรับอายุสะพานนั้น ข้อมูลที่มีชัดเจนที่สุดคืออายุสะพานที่ดูแลโดยกรมทางหลวงชนบท ซึ่งมีสะพานอยู่ทั้งหมด 9,800 สะพาน กว่า 50% นั้น มีอายุเกิน 30 ปี
ในประเทศเราเองก็มีหน่วยงานและวิศวกรที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและซ่อมบำรุงสะพาน มีคู่มือการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน สะพาน จากหน่วยงานที่ดูแล และมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน แต่เนื่องจากเรายังไม่มีการกำหนดเป็นข้อบังคับหรือกฎหมายชัดเจน การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานบางกรณีจึงเป็นขั้นตอนที่ตรวจพบความเสียหายบางอย่างกับโครงสร้างแล้ว
Q: เรามีโครงสร้างพื้นฐานเยอะขนาดนี้ จะตรวจยังไงหมด
A: การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน ให้เรานึกภาพเหมือนเราตรวจสุขภาพประจำปี เราไม่ได้โดนคุณหมอบอกว่าให้ไปตรวจชิ้นเนื้อ หรือให้ตรวจอะไรละเอียดเป็นพิเศษในทีแรก เราเริ่มจากการตรวจทั่วๆไปของร่างกาย เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง เอ็กซ์เรย์ปอด หรือตรวจเลือด เพื่อให้ทราบสภาพของร่างกายเบื้องต้น ก่อนจะดำเนินการตรวจโดยละเอียดตามผลการตรวจร่างกายเบื้องต้น หรือทำการรักษาต่อไป การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานก็เช่นกัน เราไม่ได้ดำเนินการตรวจโดยละเอียดในทีแรก เราดำเนินการตรวจสอบสภาพทั่วไปของโครงสร้างก่อน ก่อนที่จะดำเนินการตรวจโดยละเอียด และวางแผนซ่อมบำรุงต่อไป ดังนั้น การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานสามารถแบ่งเป็นระยะการตรวจสอบดังต่อไปนี้
| Inspector | Inspection frequency | Method | Remarks | |
| Routine inspection | Technician | 1 time / week | Visual inspection | -General condition (by patrol car or walk around) |
| Periodical inspection | Technician / Engineer | 1 time / 5 years | Visual inspection (Access closer as much as possible) | In some cases, use high efficiency equipment to support the inspection. |
| Special inspection | Technician / Engineer | As per necessary | Same as Periodical inspection and special inspection. | Damages occur in case of unexpected events such as earthquake, typhoon, heavy rain. |
| Detail inspection | Consultants | As per necessary | NDT, Analysis and calculation (as specify in periodical inspection result) |
จะเห็นว่าการสำรวจใน 2 ระยะแรกคือ แบบปกติ (Routine inspection) กับแบบประจำ (Periodical inspection) นั้น ใช้เวลาไม่นาน ทำได้ง่าย และค่าใช้จ่ายไม่สูง สามารถเริ่มต้นสำรวจได้เลย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนสะพานในไทยมีจำนวนเยอะมาก ทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถใช้วิธีว่าจ้างบริษัทเอกชนที่มีความรู้และศักยภาพเพียงพอในการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลของสะพานในการสำรวจแบบประจำ
ส่วนการสำรวจในระยะที่ 3 และ 4 นั้น จำเป็นต้องได้รับการคำนวณ วิเคราะห์ ถึงความจำเป็นและวิธีการตรวจสอบจากวิศวกรผู่เชี่ยวชาญ จึงทำการตรวจสอบในลำดับถัดไป โดยจะเป็นการตรวจสอบเพื่อ วิเคราะห์ วินิจฉัย ความเสียหายของโครงสร้าง รวมทั้งการตรวจสอบเร่งด่วนเนื่องจากภัยพิบัติต่างๆ การตรวจสอบใน 2 ระยะนี้ ต้องการความเชี่ยวชาญ และวิธีการตรวจสอบที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น จึงใช้เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น การตรวจสอบใน 2 ระยะแรก เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลและสภาพสะพานนั้น มีความสำคัญมาก ทำได้รวดเร็วและค่าใช้จ่ายไม่สูง การเริ่มตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานใน 2 ระยะแรกก่อนสามารถทำได้แน่นอน
Q: บริษัทเราทำอะไรได้บ้าง
A: บริษัทของเราเป็นบริษัทชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นที่สามารถตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน สะพาน อุโมงค์ อ่างเก็บน้ำ และเขื่อน ได้ในทุกระยะการตรวจสอบ รวมทั้งวางแผนการตรวจสอบเฉพาะของแต่ละสะพานและออกแบบซ่อมแซมโครงสร้าง หลักพื้นฐานของการตรวจสอบโครงสร้างคือการให้ผู้เชี่ยวชาญ เข้าไปสำรวจในพื้นที่ที่สำคัญ เช่น บริเวณใต้โครงสร้างสะพาน, Support ของ girder สะพานกับตอม่อสะพาน, เคเบิลสะพาน, รอยต่อของน็อตต่างๆ รวมถึงการสำรวจในสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น โครงสร้างที่อยู่ใต้ดินและโครงสร้างที่อยู่ในน้ำ บริษัทของเราพยายามพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเพื่อนำมาใช้ในการสำรวจแทนการใช้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงอันตราย และพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น การใช้โดรนบินไปตามจุดต่างๆ การใช้โดรนใต้น้ำเพื่อเก็บภาพอะคูสติกใต้น้ำ ขอบเขตงานของบริษัทของเราเป็นไปตามรายการด้านล่าง
- การตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพสะพาน
- การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา (Civil Infrastructure)
- การจัดทำแผนการตรวจสอบและบำรุงรักษา
- การออกแบบงานซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรง
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล / หุ่นยนต์ / โดรน ในงานตรวจสอบ
- การพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันเพื่อการจัดการฐานข้อมูล
บริษัทของเรามีจุดเด่นในการคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการตรวจสอบตามระยะการตรวจสอบ ตามสภาพของงาน และเป็นการใช้เทคโนโลยีตรวจสอบที่ทำโดยตัววิศวกรเอง ไม่ได้ใช้เจ้าของเครื่องมือมาทำการตรวจสอบ ดังนั้นเราจะได้ผลการตรวจสอบที่ตรงตามความต้องการของวิศวกร และใช้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ

